Ethereum Restaking คืออะไร?

| ประเด็นสำคัญ: |
| — การรีสเตค (Restaking) Ethereum เป็นแนวคิดใหม่ที่มีเป้าหมายในการขยายความปลอดภัยทางเศรษฐกิจของคริปโตของ Ethereum สู่โพรโทคอลใหม่ ๆ พร้อมกับเพิ่ม Reward ให้กับผู้สเตค — กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการนำ Ether ที่สเตค (Stake) ไว้ หรือโทเคนจากการทำ Liquid Staking ไปใช้สเตคซ้ำบนโพรโทคอลอื่นในเครือข่าย Ethereum ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายเตือนว่าแนวทางนี้อาจส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของเครือข่ายหลักในระยะยาว — EigenLayer ซึ่งเป็นโพรโทคอลผู้ริเริ่มแนวคิดการรีสเตค (Restaking) มองว่าแนวทางนี้จะช่วยเร่งการสร้างนวัตกรรมในระบบนิเวศของ Ethereum ด้วยการสร้างระบบความปลอดภัยกลางแบบกระจายอำนาจขึ้นมา |
ในฐานะหัวใจของเครือข่ายบล็อกเชนทั้งหมด เราจึงควรให้ความสำคัญกับกลไกฉันทามติอย่างพอดี สำหรับ Ethereum ซึ่งเป็นคริปโตที่มีมูลค่าเป็นอันดับสองของโลก โมเดลกลไกฉันทามติแบบ Proof-of-Stake ถือเป็นองค์ประกอบหลักทั้งในด้านความปลอดภัยและการทำงานของเครือข่าย ปัจจุบัน เครือข่าย Ethereum มีผู้ตรวจสอบเครือข่ายเกือบ 1 ล้านราย และมี ETH ที่ถูกนำมาสเตค (Stake) มากกว่า 31 ล้านเหรียญ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับเครือข่าย
แน่นอนว่า การสร้างเครือข่ายผู้ตรวจสอบที่มีขนาดแม้เพียงเศษเสี้ยวของ Ethereum นั้นเป็นงานที่ทั้งท้าทายและต้องใช้ต้นทุนสูงมาก สิ่งนี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับโพรโทคอลใหม่และที่เพิ่งเกิดขึ้นในระบบนิเวศ ซึ่งอาจเป็นการขัดขวางนวัตกรรมที่มีศักยภาพจากการเติบโตอย่างเต็มที่ได้
แต่จะเป็นอย่างไรถ้ามีวิธีนำความปลอดภัยที่ Ethereum สร้างไว้แล้วมาใช้ประโยชน์กับโปรเจกต์ใหม่บนเครือข่ายล่ะ? เราจะสามารถปลดล็อกความก้าวหน้าระดับใหม่สำหรับทั้งระบบนิเวศได้หรือไม่?
และนี่คือแนวคิดเบื้องหลังของการรีสเตค (Restaking) Ethereum ที่ต้องการแบ่งปันเครือข่ายผู้ตรวจสอบของ Ethereum เพื่อส่งเสริมประโยชน์ให้กับโพรโทคอลใหม่ ๆ รวมถึงผู้สเตค และชุมชน Ethereum โดยรวม
แล้วการรีสเตค (Restaking) Ethereum คืออะไรกันแน่? มันมีวิธีทำงานอย่างไร และหากพูดถึงการรีสเตค (Restaking) Ethereum แล้วมีความเสี่ยงอะไรบ้าง? ในบทความนี้ Ledger Academy จะพาคุณไปหาคำตอบสำหรับทุกคำถามและอีกมากมาย
อธิบายการสเตค (Stake) และรีสเตค (Restaking) Ethereum
เพื่อให้เข้าใจเรื่องการรีสเตค (Restaking) เรามาย้อนดูพื้นฐานของการสเตค (Stake) และวิธีการทำงานบนเครือข่าย Ethereum กันก่อน
การสเตค (Stake) Ethereum ทำงานอย่างไร?
การสเตค (Stake) Ethereum เป็นรากฐานของโมเดลกลไกฉันทามติแบบ Proof-of-Stake ของเครือข่าย วิธีหนึ่งในการมองการสเตค (Stake) ก็คือ การนำเหรียญมาเป็นหลักประกันเพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของ Ethereum
หากใครต้องการเป็นผู้ตรวจสอบของ Ethereum ก็จะต้องสเตค (Stake) 32 ETH (เป็นอย่างน้อย) เพื่อเป็นหลักประกันก่อน และจะได้รับ Reward เป็นการตอบแทนจากการประมวลผลธุรกรรม ในทางกลับกัน หากผู้ตรวจสอบประพฤติตนไม่ซื่อสัตย์หรือทำสิ่งใดที่เป็นอันตรายต่อเครือข่าย อาจจะต้องเสีย ETH ที่นำมาสเตค (Stake) ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Slashing ได้
Ethereum Restaking คืออะไร?
การรีสเตค (Restaking) Ethereum คือกระบวนการนำ ETH ที่สเตค (Stake) ไว้บน Ethereum ไปช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับโพรโทคอลแบบกระจายอำนาจอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกับการสเตค (Stake) โดยทั่วไป การรีสเตค (Restaking) ก็เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้รับ Reward จากโพรโทคอลที่พวกเขาเข้าไปมีส่วนช่วยรักษาความปลอดภัยเช่นกัน
แม้ว่าการได้รับ Reward เพิ่มเติมจะเป็นแรงจูงใจหลักอย่างหนึ่งของการรีสเตค (Restaking) แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่สุดของแนวคิดนี้ แนวคิดที่ใหญ่กว่าของการรีสเตค (Restaking) คือการเปิดโอกาสให้โพรโทคอลที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่สามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายผู้ตรวจสอบที่แข็งแกร่งของ Ethereum ได้ เพราะการที่จะสร้างเครือข่ายนั้นขึ้นมาเองจะต้องใช้ต้นทุนและทรัพยากรจำนวนมาก
สังเกตว่า กลไกการรีสเตค (Restaking) นั้นไม่ได้เป็นผลที่เกิดจาก Ethereum Improvement Proposal (EIP) หรือ Ethereum Roadmap แต่อย่างใด แต่เป็นแนวคิดที่ถูกออกแบบโดยโพรโทคอลของบุคคลที่สามที่มีชื่อว่า EigenLayer
EigenLayer: จุดเริ่มต้นของการรีสเตค (Restaking) ETH
EigenLayer ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2021 เป็นแพลตฟอร์ม Middleware บน Ethereum ซึ่งหมายความว่าแพลตฟอร์มนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเครือข่าย Layer 1 กับแอปพลิเคชันอื่น ๆ เพื่อให้สามารถโต้ตอบกันได้ ปัจจุบัน EigenLayer เป็นโพรโทคอลแบบกระจายอำนาจเพียงรายเดียวที่ให้บริการรีสเตค (Restaking) ETH
โดย EigenLayer จะใช้สัญญาอัจฉริยะบน Ethereum เพื่อเปิดให้ผู้สเตคสามารถนำ ETH ของตนไปรีสเตค (Restake) บนโพรโทคอลที่รองรับได้ แพลตฟอร์มนี้ยังทำหน้าที่เป็นมาร์เก็ตเพลสสำหรับการสเตค (Stake) โดยเปิดโอกาสให้ผู้สเตค ผู้ตรวจสอบเครือข่าย และโพรโทคอล ซึ่งเป็นสามตัวละครหลักมาพบปะกัน
นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2023 เป็นต้นมา EigenLayer สามารถเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นหนึ่งในโพรโทคอลบล็อกเชนที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน มี ETH มูลค่ากว่า 10 พันล้านดอลลาร์ที่ถูกนำมารีสเตค (Restaking) ผ่าน EigenLayer ซึ่งทำให้มูลค่ารวมสินทรัพย์ที่ถูกล็อกไว้ (TVL) สูงกว่าแพลตฟอร์ม DeFi รายใหญ่หลายแห่ง เช่น Aave, Rocket Pool และ Uniswap
การเติบโตอย่างรวดเร็วของ EigenLayer สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่มีต่อการรีสเตค (Restaking) ในตลาดอย่างเห็นได้ชัด รวมถึง Reward เพิ่มเติมที่ผู้ใช้จะได้รับด้วย แต่ผู้ใช้จะได้รับ Reward เหล่านี้ได้อย่างไร? เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ มาดูกันว่าการรีสเตค (Restaking) Ethereum มีวิธีอย่างไร
การรีสเตค (Restaking) ETH ทำงานอย่างไร?
ปัจจุบัน EigenLayer เป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่คุณสามารถใช้ในการรีสเตค (Restake) ETH ได้ ลองมาดูกันว่าโปรเจกต์นี้ใช้กลไกนี้อย่างไร
สัญญาอัจฉริยะ: EigenPod
การรีสเตค (Restaking) บน EigenLayer ช่วยให้สัญญาอัจฉริยะสามารถกำหนดเงื่อนไข Slashing เพิ่มเติมกับ ETH ที่คุณสเตค (Stake) ไว้ได้ นี่คือวิธีที่ EigenLayer ขยายความปลอดภัยของ Ethereum ไปยังโพรโทคอลต่าง ๆ ในระบบนิเวศของตน ซึ่งเรียกว่า Actively Validated Services (AVS) หากผู้ตรวจสอบที่เข้าร่วมการรีสเตค (Restaking) ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้กับ AVS ที่รับผิดชอบ ก็อาจถูกลงโทษด้วยการถูกหัก ETH ที่นำมาสเตคได้ (Slashing)
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นผ่านสัญญาลงโทษบนเชน (On-Chain Slashing) และสัญญาอัจฉริยะที่เรียกว่า EigenPods หรืออาจมองได้ว่า EigenPods เป็นเสมือนบัญชีเสริมที่อยู่ระหว่างวอลเล็ตของผู้รีสเตคกับ ETH ที่นำมาสเตค (Stake) การถอนสเตคและรางวัลทั้งหมดจะต้องทำผ่าน EigenPod ก่อนที่จะเข้าสู่บัญชีของผู้ตรวจสอบ ซึ่งทำให้ EigenLayer มีความสามารถในการลงโทษผู้ตรวจสอบที่มีการกระทำไม่เหมาะสม
Native Restaking เทียบกับ Liquid Restaking
Native Restaking มีขั้นตอนที่คล้ายกับการสเตค (Stake) ETH แบบเนทีฟ นั่นหมายความว่าตัวเลือกนี้จะเปิดให้เฉพาะผู้ที่ยินดีจะเรียกใช้งาน (หรือกำลังเรียกใช้งาน) โหนดผู้ตรวจสอบบนเครือข่าย Ethereum เท่านั้น ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวของ Native Restaking คือ EigenPod จะกลายเป็น Address สำหรับการถอนสเตคของคุณ
ในกรณีของ Liquid Restaking สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจการทำงานของ Liquid Staking ก่อน
Liquid Staking เกี่ยวข้องกับการล็อกโทเคนไว้ในสัญญาอัจฉริยะเช่นเดียวกับการสเตคแบบเนทีฟ แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ แพลตฟอร์ม Liquid Staking จะออกโทเคนที่เรียกว่า Liquid Staking Tokens (LST) ให้คุณเป็นการตอบแทน ซึ่งคุณสามารถนำ LST เหล่านี้ไปใช้ในแอปพลิเคชัน DeFi ได้เช่นเดียวกับโทเคนทั่วไป ดังนั้น Liquid Restaking จึงหมายถึงการที่ผู้ใช้นำ LST ไปฝากไว้ในสัญญาของ EigenLayer
ปัจจุบัน EigenLayer รองรับการรีสเตค (Restaking) สำหรับ LST ทั้งหมด 12 รายการ รวมถึงตัวเลือกยอดนิยมอย่าง Rocket Pool Ether (rETH), Lido Staked Ether (stETH) และ Coinbase Staked Ether (cbETH)
บางแพลตฟอร์มได้ขยายการใช้งานของ Liquid Restaking ให้กว้างยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น โพรโทคอล Renzo และ EtherFi ต่างก็ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์ม LiquidRestaking ให้กับ EigenLayer โดยโพรโทคอลเหล่านี้จะรับ LST จากผู้ใช้ และออกโทเคน Liquid Restaking/Receipt Tokens (LRT) ให้แทน
ในช่วงไม่นานมานี้ มีแพลตฟอร์ม Liquid Restaking เกิดขึ้นหลายแห่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายการใช้งานของการรีสเตค (Restaking) ให้กว้างยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับ Liquid Staking ผู้ใช้จะนำ LST ของตนมารีสเตค (Restake) รับกับแพลตฟอร์มเหล่านี้ และรับ Liquid Restaking/Receipt Tokens (LRT) กลับมาเป็นการตอบแทน
การ Delegate
เมื่อคุณสเตค (Stake) ETH หรือฝาก LST เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการ Delegate สเตคของคุณ โดยเราจะเรียกผู้ที่คุณทำการ Delegate ให้ว่าโอเปอเรเตอร์ ซึ่งคนเหล่านั้นเป็นผู้มีส่วนช่วยในการให้บริการ Actively Validated Services บน EigenLayer
การ Delegate มีสองตัวเลือก เช่นเดียวกับการสเตค (Stake) ETH คุณสามารถเลือก Delegate ตัวเองเพื่อทำหน้าที่เป็นโอเปอเรเตอร์เอง หรือจะ Delegate โอเปอเรเตอร์ที่มีอยู่แล้วก็ได้ แม้ว่าการ Delegate โอเปอเรเตอร์จะเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด แต่การเลือก Delegate ตัวเอง จะทำให้คุณมีอำนาจควบคุมและความรับผิดชอบมากกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้สเตคไม่สามารถกำหนดให้โอเปอเรเตอร์เลือกทำงานกับ AVS ใดได้
ข้อดีของการรีสเตค (Restaking) Ethereum คืออะไร?
ผู้ที่สเตค ETH จะได้รับ Reward มากขึ้น
ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดของการรีสเตค (Restaking) ETH คือผู้สเตคจะได้รับ Reward แบบทบต้น แม้อัตรา Reward จากการสเตคจะเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลาและแตกต่างกันไปตามแพลตฟอร์ม แต่ผู้สเตค ETH โดยทั่วไปสามารถคาดหวังผลตอบแทนรายปีได้ประมาณ 3% หรือกล่าวได้ว่าภายในหนึ่งปีคุณจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3% ของจำนวน ETH ที่คุณนำไปสเตค (Stake)
แต่หากคุณเลือกรีสเตค (Restaking) คุณก็สามารถรับ Reward เพิ่มเติมจากโพรโทคอลอื่น ๆ ได้หลายแห่ง ทั้งนี้ อัตรา Reward จะขึ้นอยู่กับ AVS ที่คุณนำ ETH ไปสเตค (Stake)
ต้นทุนที่ลดลงสำหรับโพรโทคอลสตาร์ทอัพ
อีกหนึ่งประโยชน์สำคัญของการรีสเตค (Restaking) ETH คือช่วยลดต้นทุนให้กับโพรโทคอลใหม่ที่กำลังพัฒนาบน Ethereum โดยก่อนที่จะมีแนวคิดเรื่องรีสเตค (Restaking) โพรโทคอลใหม่จำเป็นสร้างเครือข่ายผู้ตรวจสอบของตนเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องต้องลงทุนสูง ด้วยแนวคิดการรีสเตค (Restaking) โพรโทคอลใหม่ ๆ จึงสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายผู้ตรวจสอบของ Ethereum ที่มีการพัฒนาแล้วอย่างเต็มที่ได้ แนวคิดที่เปิดให้โพรโทคอลแบบกระจายอำนาจสามารถแบ่งปันความปลอดภัยผ่านเครือข่ายผู้ตรวจสอบร่วมกันนี้ เรียกว่า Pooled Security
หลีกเลี่ยงข้อจำกัดของ Layer 2
ก่อนหน้านี้ ด้วยต้นทุนที่สูงในการเปิดตัวโพรโทคอลใหม่บน Ethereum หลายโปรเจกต์จึงเลือกย้ายไปใช้บล็อกเชน Layer 2 เป็นทางออก แม้ว่าเครือข่ายเหล่านี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับโพรโทคอลใหม่ ๆ ได้ แต่ก็มีข้อเสียบางประการเช่นกัน
การออกแบบของเชน Layer 2 บางประเภทอาจก่อให้เกิดข้อจำกัดต่อสถาปัตยกรรมของโพรโทคอลได้ เช่น ตัวเลือกในการปรับแต่ง และประเภทของธุรกรรมที่โพรโทคอลสามารถเข้าถึงได้ การสร้างโพรโทคอลบน Ethereum โดยอาศัยความปลอดภัยแบบ Pooled Security จากการรีสเตค (Restaking) จึงเปิดโอกาสให้โพรโทคอลสามารถสร้างสถาปัตยกรรมให้ตอบโจทย์ความต้องการได้โดยไม่ถูกจำกัด
ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อโพรโทคอลแต่ละรายแล้ว สิ่งนี้ยังส่งผลดีอย่างมากต่อระบบนิเวศของ Ethereum โดยรวมอีกด้วย เพราะยิ่งโพรโทคอลสามารถสร้างบน Layer 1 ได้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรมได้มากขึ้น โดยไม่ต้องสูญเสียสภาพคล่องไปยังเชนอื่น
ความเสี่ยงของการรีสเตค (Restaking) มีอะไรบ้าง?
เพิ่มความเสี่ยงต่อการ Slashing
ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ Slashing เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบ Proof-of-Stake ที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมมีความซื่อสัตย์ อย่างไรก็ตาม ลักษณะของ Slashing อาจทำให้เกิดผลเสียต่อผู้ใช้งานได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำสิ่งใดที่เป็นอันตรายต่อเครือข่ายโดยตรงก็ตาม
ตัวอย่างเช่น ผู้สเตค ETH จำนวนมากไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบเครือข่ายด้วยตนเอง แต่เลือก Delegate สเตคของตนให้กับผู้ตรวจสอบแทน ฉะนั้น หากผู้ตรวจสอบที่ถูก Delegate มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ผู้สเตคก็ยังมีความเสี่ยงที่จะโดน Slashing เช่นกัน
นอกจากนี้ Slashing ยังอาจเกิดขึ้นได้แม้กับผู้ตรวจสอบที่ปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์ด้วย สรุปคือ หากโหนดของตนล่ม ผู้ตรวจสอบสามารถโดนลงโทษด้วยการ Slashing ได้ ดังนั้น ผู้ตรวจสอบจำนวนมากจึงตั้งค่าระบบสำรองไว้ หากเครือข่ายตรวจพบว่า Validator Key เดียวกันถูกใช้งานจากเซิร์ฟเวอร์สองเครื่อง ก็จะมีการลงโทษด้วยการ Slashing เช่นกัน เพื่อป้องกันสิ่งที่เรียกว่า double-spending
ทั้งหมดนี้หมายความว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใด การสเตค (Stake) ก็จะมีความเสี่ยงต่อการถูก Slashing ในระดับที่ต่างกัน ดังนั้นเมื่อคุณเลือกที่จะรีสเตค (Restaking) เท่ากับว่าคุณกำลังเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษด้วยการ Slashing ด้วยเช่นกัน
ผลกระทบต่อสภาพคล่องของ ETH
แม้ว่าการรีสเตค (Restaking) จะช่วยรักษา ETH ให้อยู่ภายในระบบนิเวศมากขึ้น แต่คุณต้องไม่ลืมว่า ETH ที่นำไปสเตค (Stake) จะไม่สามารถใช้งานได้ และแม้ในกรณีที่คุณยกเลิกการสเตค (Unstake) ETH ที่รีสเตค (Restake) ไว้ คุณก็อาจต้องรอนานกว่าปกติกว่าจะสามารถถอนออกมาได้
ข้อกังวลเรื่องความเป็นศูนย์กลาง
หากมีโพรโทคอลรีสเตค (Restaking) อย่าง EigenLayer เพิ่มมากขึ้น และสามารถดึงดูดผู้ใช้งานจำนวนมากด้วยคำสัญญาเรื่อง Reward ที่สูงขึ้น ก็อาจทำให้จำนวนผู้สเตคแบบอิสระลดลง และมีผู้คนหันไปสเตคผ่านโปรโตคอลเหล่านี้มากขึ้น สิ่งนี้อาจส่งผลให้การสเตค (Stake) มีแนวโน้มรวมศูนย์มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ข้อกังวลเกี่ยวกับ LRT
ตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ การเติบโตของการรีสเตค (Restaking) ได้นำไปสู่การเกิดสินทรัพย์ประเภทใหม่ที่เรียกว่า Liquid Restaking Tokens (LRT) ขณะที่โทเคนเหล่านี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในลักษณะที่คล้ายกับ LST แต่ก็มีความเสี่ยงที่มาพร้อมกันที่ควรระวัง
อย่างหนึ่งเลยก็คือเรื่องความซับซ้อนของ LRT เอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว LRT ก็ยังเป็นโทเคนที่แทนค่าโทเคนที่ถูกนำไปสเตค (Stake) ซึ่งตัวมันเองก็เป็นตัวแทนของโทเคนที่สเตค (Stake) ไว้อีกชั้นหนึ่ง ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้เกิดคำถามว่าผู้ให้บริการ LRT จะกระจายผลขาดทุนและกำไรอย่างไร
อีกทั้งด้วยความใหม่ของสินทรัพย์ประเภทนี้ จึงมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาในระหว่างที่แพลตฟอร์มต่าง ๆ พยายามดึงดูดผู้ใช้ใหม่ด้วยคำสัญญาเรื่องผลตอบแทนที่สูง รวมถึงเศรษฐศาสตร์ของโทเคนที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อฉันทามติทางสังคมของ Ethereum
สุดท้าย บางคนเชื่อว่าการใช้เครือข่ายผู้ตรวจสอบของ Ethereum เป็นรากฐานของความ Pooled Security อาจส่งผลให้เครือข่ายหลักเกิดความไม่มั่นคงได้ หนึ่งในผู้ที่แสดงความเห็นในเรื่องนี้ก็คือ Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum นั่นเอง
ในบล็อกโพสต์เดือนพฤษภาคม 2023 Buterin ได้พูดถึงแนวโน้มที่โพรโทคอลต่าง ๆ เริ่มใช้ประโยชน์จากเครือข่ายผู้ตรวจสอบของ Ethereum มากขึ้น รวมถึงแสดงความกังวลว่าเคสการใช้งานบางประเภทอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในเชิงระบบต่อระบบนิเวศของ Ethereum ได้ โดย Buterin เตือนว่าโพรโทคอลต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ต้องพึ่งพาฉันทามติทางสังคมของ Ethereum อาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ควบคุมได้ยากในอนาคต
ฉันทามติทางสังคมของ Ethereum หมายถึงชุมชนระดับโลกขนาดใหญ่ของนักพัฒนาและผู้ใช้ Ethereum ที่คอยเฝ้าติดตามเครือข่ายอยู่ตลอดเวลา ฉันทามติทางสังคมนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของเครือข่าย เพราะหากฉันทามติระบบเศรษฐกิจคริปโตนี้ล้มเหลวจากบั๊กหรือการโจมตี ชุมชนก็สามารถเข้ามาปกป้องเครือข่ายได้ทันที
สิ่งที่ Buterin กังวลคือผู้ที่พัฒนาโพรโทคอลอาจเริ่มมองว่า Hard Fork เป็นทางออกในการแก้ปัญหาหากมีสิ่งใดผิดพลาดเกิดขึ้น ท้ายที่สุด เขากล่าวต่อว่าตราบใดที่โปรเจกต์ต่าง ๆ ใช้เพียงชุดผู้ตรวจสอบของ Ethereum โดยไม่พยายามพึ่งพาฉันทามติทางสังคม ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ที่น่าสนใจคือ Sreeram Kannan ผู้ก่อตั้ง EigenLayer เห็นด้วยกับข้อสรุปของ Buterin โดยเขาได้ ย้ำ ว่าการแยกตัวของสายบล็อกเชน Ethereum ไม่ควรถูกมองว่าเป็นทางออกสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในโพรโทคอลใด ๆ
วิธีรีสเตค (Restake) ETH บน EigenLayer
วิธีใช้ EigenLayer เพื่อรีสเตค (Restake) Ether สามารถทำได้สองแบบ คือ Native Restaking และ Liquid Restaking
วิธีเริ่ม Native Restaking บน EigenLayer
ต่อไปนี้คือวิธีรีสเตค (Restake) ETH แบบเนทีฟบน EigenLayer:
- เชื่อมวอลเล็ตของคุณกับแอป EigenLayer และตรวจดูให้แน่ใจว่าคุณเชื่อมต่ออยู่กับ Ethereum Mainnet
- คลิก “สร้าง EigenPod”
- หากสำเร็จ คุณจะเห็น Address ของ EigenPod ปรากฏขึ้นทางด้านขวาของหน้าจอ
- เมื่อมี Address ของ EigenPod แล้ว คุณจะสามารถฝาก 32 ETH เข้าสู่ Beacon Chain ได้เหมือนกับการสเตค (Stake) ETH ปกติ
- ขั้นตอนสำคัญคือคุณต้องตั้งค่าให้ Address ของ EigenPod เป็นสิ่งที่ใช้รับรองตัวตนสำหรับการถอน Reward จากการสเตค (Stake) ของคุณ
- เมื่อทำการฝากสเตค (Stake) ของคุณแล้ว ระบบจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงในการยืนยันธุรกรรม หลังจากนั้นคุณจะสามารถเลือก Delegate โอเปอเรเตอร์ได้ตามต้องการ
วิธีเริ่ม Liquid Restaking บน EigenLayer
หากคุณต้องการเข้าร่วม Liquid Staking คุณสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อฝาก LST ของคุณเข้าสู่ EigenLayer
อย่าลืมว่า คุณสามารถแลกเปลี่ยน ETH เป็น LST ผ่าน Stader Labs หรือ Lido ได้โดยตรงและง่ายดายบน Ledger Live
- เชื่อมวอลเล็ตของคุณกับแอป EigenLayer และตรวจดูให้แน่ใจว่าคุณเชื่อมต่ออยู่กับ Ethereum Mainnet
- เลือก LST ที่คุณต้องการรีสเตค (Restake) จากรายการ
- ป้อนจำนวน LST ที่คุณต้องการรีสเตค (Restake) จากนั้นคลิก “ฝาก” หากนี่เป็นการฝาก LST ครั้งแรก คุณจะต้องตั้งค่าการอนุมัติโทเคนก่อนจึงจะสามารถรีสเตค (Restake) ได้
- หลังจากยืนยันการอนุมัติโทเคนแล้ว คุณจะสามารถยืนยันธุรกรรมการฝากนั้นได้
- หากธุรกรรมสำเร็จ คุณจะเห็นยอดฝากของคุณในส่วน Restaked Balance บนแอป
อนาคตของ Ethereum Restaking และ Pooled Blockchain Security
โดยสรุปแล้ว การรีสเตค (Restaking) Ethereum เป็นแนวคิดที่น่าตื่นเต้นซึ่งได้นำแนวคิดเรื่องความปลอดภัยแบบ Pooled Security ขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการนวัตกรรมบล็อกเชนเลยก็ว่าได้ และนอกจากจะช่วยเพิ่มประโยชน์จากการสเตค (Stake) Ethereum แล้วยังเปิดโอกาสที่น่าสนใจให้กับโพรโทคอลบล็อกเชนที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ อีกด้วย
และหากคุณพร้อมจะก้าวเข้าสู่โลกของการสเตค (Stake) Ethereum และรับ Reward จากการสเตค (Stake) แล้ว ก็ไม่ต้องมองหาที่ไหนไกล Ledger อยู่ตรงหน้าคุณแล้ว! ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าการสเตค (Stake) Ether บน Ledger Live อีกแล้ว เมื่อจับคู่กับพลังของการถือสินทรัพย์ด้วยตนเองที่ปลดล็อกโดย Hardware Wallet ของ Ledger แล้ว คุณก็จะมีทุกอย่างพร้อมลุยโลกของการสเตค (Stake) Ethereum
รออะไรอยู่ล่ะ? ค้นหาอุปกรณ์ Ledger ที่เหมาะกับคุณ และเริ่มต้นสัมผัสอิสรภาพของการถือสินทรัพย์อย่างปลอดภัยด้วยตัวเองเลย