SegWit และ Native SegWit (Bech32) ต่างกันอย่างไร?

ประเด็นสำคัญ: |
— Segregated Witness – หรือเรียกสั้น ๆ ว่า SegWit – ช่วยลดขนาดข้อมูลของธุรกรรมเพื่อให้สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น รองรับการขยายขนาดได้ดีขึ้น และยังลดค่าธรรมเนียมให้ถูกลง — Native SegWit (bech32) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นไปอีกระดับ และมาพร้อมค่าธรรมเนียมที่ถูกลงยิ่งกว่าเดิม — ไม่ใช่ Exchange และผู้ให้บริการวอลเล็ตทุกรายที่รองรับการส่ง Bitcoin ไปยัง Address ของ Native SegWit ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ Ledger Live มีทั้งสองตัวเลือกไว้รองรับคุณ — รองรับ Address ทั้ง 3 ประเภทในการทำธุรกรรม |
หากคุณรู้สึกโดนถาโถมด้วยศัพท์เทคนิคมากมาย ไม่ต้องกังวล เราพร้อมช่วยคุณ. อ่านต่อสำหรับคำอธิบายเกี่ยวกับ Segwit และ Native SegWit ในภาษาอังกฤษแบบง่าย ๆ
ตามที่ผู้ใช้ Ledger อาจสังเกตเห็น การเพิ่มบัญชี Bitcoin ใน Ledger Live จะมีตัวเลือกบัญชีสองแบบให้เลือก คือ บัญชี Native SegWit และบัญชี SegWit แม้หลายคนจะสามารถแยกความต่างระหว่าง Address ของ Native SegWit (ที่ขึ้นต้นด้วย “bc1”) และ Address ของ SegWit (ที่ขึ้นต้นด้วย “3”) ได้ แต่เราจะพาไปดูให้เจาะลึกยิ่งขึ้นว่าจริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้หมายถึงอะไร

SegWit (P2SH) และ Native SegWit (bech32) ไม่ใช่ Address รูปแบบแรก ๆ ของบัญชี Bitcoin แต่เป็น Legacy ซึ่งจะขึ้นต้นด้วย “1” เมื่อราคา Bitcoin เริ่มสูงขึ้น ค่าธรรมเนียมที่จะต้องจ่ายสำหรับแต่ละธุรกรรมก็ดูเหมือนจะแพงขึ้นด้วย อันที่จริงแล้ว ความเร็วในการทำธุรกรรมก็จะช้าลงด้วยเช่นกัน
และนั่นทำให้ SegWit ต้องเข้ามามีบทบาท
ข้อเสนอ SegWit (Segregated Witness) เคยเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในช่วงหนึ่ง อันที่จริงแล้ว ในช่วงแรกเริ่ม ข้อเสนอเป็นที่รู้จักกันในชื่อ SegWit2X ก่อนที่จะถูกยกเลิกไปและแทนที่ด้วยชื่อที่เรารู้จักกันในปัจจุบันว่า SegWit ในเดือนสิงหาคม ปี 2017 Soft Fork ที่ใช้ SegWit ได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งมีการนำไปใช้อย่างรวดเร็วนับตั้งแต่นั้น และทำให้สิ่งนี้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในเวลาต่อมา
แล้ว SegWit ทำให้อะไรเปลี่ยนไป?
SegWit หรือที่เรียกกันว่า Wrapped หรือ Nested SegWit ช่วยลดขนาดของข้อมูลในแต่ละธุรกรรม โดยใช้วิธีแยกข้อมูลบางส่วนของลายเซ็นธุรกรรมออกจากธุรกรรม เมื่อธุรกรรมมีขนาดเล็กลงแล้ว ก็จะสามารถนำไปใส่ในบล็อกแต่ละบล็อกของ Bitcoin ได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เครือข่าย Bitcoin สามารถเติบโตได้อีกในอนาคต และทำให้ประมวลผลธุรกรรมได้เร็วขึ้นด้วย และยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยลดค่าธรรมเนียมสำหรับการทำธุรกรรม Bitcoin แต่ละครั้งได้อย่างมาก SegWit ยังเป็นที่มาของโซลูชันการขยายขนาดของเลเยอร์ชั้นที่สอง ซึ่งนำไปสู่การถือกำเนิดขึ้นของ Lightning Network อีกด้วย
SegWit เทียบกับ Native SegWit
Native SegWit หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ bech32 คือรูปแบบล่าสุดของ Address ซึ่งใช้พื้นที่น้อยลงกว่ารูปแบบ Address ที่มีอยู่ก่อนหน้าไปอีก และนั่นหมายถึงความเร็วในการทำธุรกรรมที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับ SegWit รวมถึงรองรับการขยายระบบได้ดียิ่งขึ้น และมีค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมที่ต่ำลงอีกด้วย นอกจากนี้ bech32 ยังมีระบบตรวจจับข้อผิดพลาดที่ดีกว่า และใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็กทั้งหมดสำหรับ Address เพื่อให้อ่านง่ายยิ่งขึ้น จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด… ในกรณีที่มีให้ใช้งาน
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของ Bech32 คือการที่ยังไม่ได้รับการรองรับโดยทุกแพลตฟอร์มหลักทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ แม้ว่าการทำธุรกรรมระหว่าง Address แบบ Legacy, SegWit และ Native SegWit จะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์ แต่อาจยังมี Exchange และวอลเล็ตอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รองรับการส่ง BTC ไปยังที่อยู่ที่ขึ้นต้นด้วย bc1 ดังนั้น เมื่อคุณเพิ่มบัญชีบน Ledger Live คุณจะเห็นตัวเลือกสำหรับเพิ่ม Address ทั้งแบบ Native SegWit และ/หรือ SegWit
หากคุณสนใจเรื่องคริปโต แล้วยังชอบเจาะลึกเรื่องเทคนิคด้วย คุณจะต้องถูกใจสิ่งนี้แน่นอน! ดู School of Block Episode เกี่ยวกับการใช้งานบล็อกเชนของเราเลย