คริปโตในไทย: คู่มือฉบับสมบูรณ์

| ประเด็นสำคัญ: |
| —คนไทยติดอันดับต้น ๆ ของโลกในการถือครองคริปโต โดยคนไทยหนึ่งในห้าเป็นเจ้าของคริปโตอย่างน้อยหนึ่งสกุล —การเป็นเจ้าของ การซื้อขาย และการขุดคริปโตเป็นเรื่องถูกกฎหมายในไทย และกำไรจากการซื้อขายจำเป็นต้องเสียภาษีตามกฎหมายของประเทศไทย —คนไทยเผชิญกับมิจฉาชีพออนไลน์มากกว่าหลาย ๆ ประเทศในโลก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีระบบป้องกันที่ดี |
ไทยเป็นหนึ่งในตลาดคริปโตที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีคนไทย 1 ใน 5 คนนั้นถือครองคริปโตอยู่แล้ว จึงส่งผลให้ไทยเป็นกลุ่มประเทศอันดับต้น ๆ ที่มีการใช้บล็อกเชนมากที่สุด
Ledger Academy จะพาคุณเจาะลึกถึงวิธีการซื้อ ขาย และจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลของคุณในประเทศไทย พร้อมทั้งนำเสนอภาพรวมของตลาดคริปโตในไทยตั้งแต่ กฎหมาย ภาษี จนถึงการขุด และอื่น ๆ อีกมากมาย
ไม่ว่าคุณต้องการเรียนรู้วิธีซื้อคริปโตในไทย วิธีขุดคริปโต หรือเพียงแค่ต้องการทราบเกี่ยวกับเรื่องภาษีก่อนทำการซื้อขาย คู่มือคริปโตฉบับสมบูรณ์สำหรับประเทศไทยฉบับนี้มีทุกคำตอบที่คุณต้องการ
วิธีซื้อคริปโตและบิตคอยน์ในไทย
มาดูคำแนะนำทีละขั้นตอนในการซื้อคริปโตในไทยกัน
ซื้อคริปโตในไทย: คำแนะนำทีละขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1: เลือก Crypto Exchange
มีหลายวิธีในการซื้อคริปโต รวมถึงการซื้อผ่าน Exchange แบบมีตัวกลาง (CEX) ในไทย ตลาดคริปโตอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ Exchange จะต้องได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ จึงอาจมีตัวเลือกไม่มาก
ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมี Exchange หลาย ๆ เจ้าในตลาดที่สามารถใช้ได้ เช่น Bitkub, Bitazza, Orbix และ Binance TH
ขั้นตอนที่ 2: ลงทะเบียนและดำเนินการตามขั้นตอน KYC ให้แล้วเสร็จ
หากต้องการลงทะเบียนกับ CEX ที่ได้รับใบอนุญาต คุณจะต้องให้รายละเอียดส่วนตัว ได้แก่ ชื่อนามสกุล, วันเกิด, หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน, และรายละเอียดการติดต่อของคุณ เช่น อีเมล และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ
นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด ‘รู้จักลูกค้าของคุณ’ (KYC) อีกด้วย ซึ่งหมายถึง การเตรียมเอกสารที่ใช้พิสูจน์ตัวตนและสถานที่อยู่อาศัยในปัจจุบันของคุณ รวมถึงต้องมีการทดสอบความรู้พื้นฐานทางการเงินด้วย
เพื่อยืนยันที่อยู่ของคุณ คุณต้องส่งรูปถ่ายหลักฐานการอยู่อาศัยล่าสุด เช่น ใบแจ้งหนี้ค่าสาธารณูปโภค หรือใบแจ้งยอดธนาคารไปยัง Exchange ที่คุณเลือก คุณสามารถยืนยันตัวตนของคุณด้วยรูปถ่ายหนังสือเดินทางหรือบัตรประจำตัวประชาชน
คนไทยต้องยืนยันตัวตนด้วยตนเองที่เครื่องเสียบบัตรระบบ “Dip-Chip” ที่ร้าน 7-Eleven ใกล้บ้าน โดยนำบัตรประจำตัวประชาชนและโทรศัพท์มือถือของคุณไปด้วย เมื่ออยู่ที่ร้าน 7-Eleven คุณต้องแสดง QR Code ที่ให้บริการโดย CEX ที่คุณเลือกบนมือถือ จากนั้นสแกนบัตรประจำตัวของคุณบนอุปกรณ์สำหรับระบบ “Dip-Chip” ในที่สุดพนักงานแคชเชียร์ของร้านจะถ่ายรูปคุณเพื่อดำเนินการขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอนที่ 3: ฝากเงินทุน
เมื่อดำเนินการ KYC เสร็จสิ้นและมีการอนุมัติบัญชีของคุณ คุณจะสามารถฝากเงินเข้าไปใน CEX ที่คุณเลือกได้ ซึ่งคุณสามารถพบได้ในเมนู ‘วอลเล็ต’ หรือ ‘ฝาก’
มีหลายวิธีในการโอนเงินเข้า CEX ที่คุณเลือก เช่น การโอนผ่านธนาคาร, พร้อมเพย์, บัตรเครดิต/เดบิต หรือในบางที่จะอนุญาตให้ใช้อีวอลเล็ตซื้อคริปโตเช่น TrueMoney หรือ Rabbit LINE Pay ได้
ขั้นตอนที่ 4: เลือกคริปโตที่คุณต้องการซื้อ
ขั้นตอนสุดท้ายคือการเลือกคริปโตที่คุณต้องการซื้อ ไม่มีใครบอกคุณได้ว่าเหรียญใดดีที่สุดสำหรับคุณ แต่ตัวเลือกยอดนิยม ได้แก่ Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Solana (SOL) และ Memecoins เช่น Dogecoin (DOGE)
เก็บคริปโตและบิตคอยน์ของคุณอย่างปลอดภัยในไทย
ไม่ใช่คีย์ของคุณ ไม่ใช่เหรียญของคุณ
ก.ล.ต. ได้กำหนดกฎเกณฑ์เข้มงวดในการควบคุมความปลอดภัย แต่มาตรการเหล่านี้ก็ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้น ลูกค้าคนไทยจึงยังคงเสี่ยงต่อการถูกแฮ็กและการละเมิดความปลอดภัย
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา Bybit Exchange ที่ตั้งอยู่ที่ดูไบและเป็นที่นิยมในประเทศไทยเพราะรองรับเงินบาท ได้ถูกแฮ็กคริปโตมูลค่ากว่า 1.5 พันล้าน USD หลังจากการโจมตี Bybit ไม่รอช้าที่จะยืนยันกับลูกค้าว่ายอดคงเหลือในบัญชีของลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบ แต่การแฮ็กที่เกิดขึ้นล่าสุดที่ Crypto Exchange ต่าง ๆ รวมถึงที่ WazirX ในปี 2024 ส่งผลให้ผู้ใช้งานต้องสูญเสียเงินทุนไป
โดยในกรณีของ WazirX ยอดคงเหลือในบัญชีของผู้ใช้ 45% ถูกระงับ ทำให้ลูกค้าต้องสูญเงินเป็นจำนวนมาก แม้ว่า Bybit จะสามารถรับมือการสูญเสียได้ในกรณีนี้ แต่ประวัติศาสตร์ก็สอนให้เราต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น
การละเมิดและความล้มเหลวใน Exchange นอกจากนั้น รวมถึงที่ Mt.Gox และ Quadriga เป็นการเน้นย้ำถึงอันตรายที่เกิดขึ้นอยู่เสมอจากการปล่อยเงินทุนจำนวนมากทิ้งไว้ใน Exchange ซึ่งผู้บริหารเป็นผู้ถือกุญแจและด้วยเหตุนี้จึงสามารถควบคุมการเงินของคุณได้อย่างเต็มที่ นั่นเป็นเหตุผลที่นักลงทุนคริปโตจึงยึดถือคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่คีย์ของคุณ ไม่ใช่เหรียญของคุณ”
เก็บคริปโตของคุณไว้ในวอลเล็ตแบบดูแลสินทรัพย์ด้วยตนเอง
ตอนนี้คุณน่าจะเข้าใจแล้วถึงเหตุผลที่การเก็บคริปโตจำนวนมากไว้ใน Exchange จึงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก คุณจะเก็บคีย์ หรือรหัสผ่าน สำหรับเงินทุนของคุณไว้ได้ด้วยวอลเล็ตแบบดูแลสินทรัพย์ด้วยตนเอง คีย์ของคุณ เหรียญของคุณ
มีวอลเล็ตแบบดูแลสินทรัพย์ด้วยตนเองสองประเภทหลัก ได้แก่ ซอฟต์แวร์วอลเล็ตและฮาร์ดแวร์วอลเล็ต ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต เช่น Ledger Stax หรือ Ledger Flex นั้นเก็บ Private Key สำหรับคริปโตของคุณไว้ในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์โดยเฉพาะ
ส่วนซอฟต์แวร์วอลเล็ต เช่น MetaMask และ Photon นั้นเก็บ Private Key สำหรับคริปโตของคุณไว้บนคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์มือถือของคุณ การใช้วอลเล็ตแบบดูแลสินทรัพย์ด้วยตนเองผ่านซอฟต์แวร์นั้นดีกว่าการปล่อยเหรียญไว้บน Exchange แต่เนื่องจากวอลเล็ตยังคงเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์ของคุณ จึงมีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามด้านความปลอดภัยต่าง ๆ ได้มากกว่า รวมถึงมัลแวร์ ซึ่งอาจทำให้แฮกเกอร์สามารถดูดเงินในวอลเล็ตของคุณได้
จำนวนผู้ใช้คริปโตจำนวนมากในไทยทำให้ผู้ใช้กลายเป็นเป้าหมายของสแกมเมอร์และมิจฉาชีพมากขึ้น โดยการโจมตีทางไซเบอร์ในไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 70% ตั้งแต่ปี 2023 ถึง 2024 การโจมตีทางไซเบอร์ในภูมิภาคขยายตัวขึ้น 125.9% โดยมีเหตุการณ์ที่ได้รับการบันทึกถึง 732,620 ครั้ง
วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการโดนอาชญากรรมทางไซเบอร์ คือ การเก็บคีย์สำหรับเหรียญของคุณไว้ในฮาร์ดแวร์วอลเล็ต เช่น Ledger Stax หรือ Ledger Flex ไม่ต้องเชื่อคำพูดเรา เพราะผลงานที่ผ่านมาของเราคือหลักฐานที่ดีที่สุด ในระยะเวลาการดำเนินงานกว่า 10 ปีและด้วยยอดขายอุปกรณ์มากกว่า 8 ล้านเครื่อง Ledger Wallet ไม่เคยถูกแฮ็กเลยแม้แต่ครั้งเดียว
อีกทางเลือกในการซื้อคริปโตในไทย คือ การดูแลสินทรัพย์ด้วยตนเองโดยตรง
ขั้นตอนที่ 1: ตั้งค่าอุปกรณ์ Ledger (วอลเล็ตแบบดูแลสินทรัพย์ด้วยตนเอง)
หากคุณต้องการที่จะเก็บคริปโตบนฮาร์ดแวร์วอลเล็ตอย่างปลอดภัย คุณสามารถซื้อ Ledger Stax หรือ Ledger Flex ได้จากลิงก์เหล่านี้ เพียงเพิ่มลงในรถเข็นและชำระเงิน
หากต้องการเริ่มต้นใช้ Ledger Wallet ก่อนอื่นให้ติดตั้งแอป Ledger Live ที่รองรับบน Windows, Mac, Linux, Apple และ Android
เมื่อคุณดาวน์โหลดแอป Ledger Live และได้รับอุปกรณ์ Ledger แล้ว ให้เชื่อมต่อกับแล็ปท็อปหรือเดสก์ท็อปของคุณ ในแอป Ledger Live คลิก ‘เริ่มต้นใช้งาน’ จากนั้นให้เลือก ‘เริ่มใช้เป็นอุปกรณ์ใหม่’ คุณจะได้รับแจ้งให้ตั้งค่า PIN สำหรับ Ledger Wallet และบันทึกวลีกู้คืน 24 คำของคุณ
อย่าเก็บวลีกู้คืนไว้บนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ให้จดลงในกระดาษและเก็บไว้ในที่ปลอดภัย
ขั้นตอนที่ 2: ติดตั้งแอปและสร้างบัญชี
ตอนนี้วอลเล็ตของคุณได้รับการติดตั้งเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถสร้างบัญชีผู้ใช้ได้สำหรับคริปโตได้หลากหลายสกุล ที่ด้านซ้ายของหน้าจอแอป Ledger Live ให้เลือก ‘พอร์ตโฟลิโอ’ จากนั้นคลิก ‘เพิ่มบัญชี’
แล้วตอนนี้คุณจะเห็นรายการแอปและคริปโตที่รองรับ หากคุณต้องการถือครองบิตคอยน์ไว้ในอุปกรณ์ Ledger ให้เลือกและติดตั้งแอป ‘บิตคอยน์’ หากคุณต้องการถือครอง ‘อีเธอเรียมหรือโทเคน ERC20’ บนบล็อกเชนของอีเธอเรียม ให้เลือก ‘แอปอีเธอเรียม’ เป็นต้น
เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ให้เชื่อมต่อและปลดล็อก ‘อุปกรณ์ Ledger’ ของคุณหากคุณยังไม่ได้ดำเนินการ ตอนนี้แอป Ledger Live จะทำการซิงโครไนซ์กับฮาร์ดแวร์วอลเล็ตของ Ledger
ขั้นตอนที่ 3: ซื้อคริปโตผ่านผู้ให้บริการแอป Ledger Live
Ledger เป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ให้บริการบุคคลที่สามหลากหลายรายเพื่อความสะดวก ความง่ายดายในการใช้งาน และความครอบคลุม ผู้ให้บริการ ได้แก่ PayPal, MoonPay และ Coinify
แอป Ledger Live จะช่วยคุณค้นหาผู้ให้บริการที่เหมาะสม โดยมีวิธีดังนี้:
- ขั้นแรกให้ไปที่หน้า ‘ซื้อ/ขาย’
- คลิกค้นหาผู้ให้บริการที่เหมาะกับคุณ
- เลือกคริปโตที่คุณต้องการซื้อ
- กรอกจำนวนที่ต้องการซื้อ
- คลิกยืนยันจำนวน
- เลือก ‘ไทย’ เป็นประเทศที่คุณอาศัยอยู่
- เลือกวิธีการชำระเงิน
- คลิกค้นหา ‘ผู้ให้บริการที่มีสิทธิ์ใช้งาน’
- จากรายชื่อ ‘ผู้ให้บริการที่มีสิทธิ์ใช้งาน’ ที่แสดง ให้เลือกผู้ให้บริการที่คุณชอบที่สุด
- ทำการซื้อให้เสร็จสิ้น เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย
5 อันดับของ Crypto Exchange และแอปคริปโตในไทยประจำปี 2025
Ledger Live
- จำนวนสกุลเงินคริปโต: 15,000+
- จำเป็นต้องทำ KYC: สามารถใช้แอปได้โดยไม่ต้องมี KYC แต่ผู้ให้บริการบุคคลที่สามอาจกำหนดให้ต้องมีการ KYC
- ค่าธรรมเนียมการเทรด: แอป Ledger Live ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม แต่จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากเครือข่าย
- ค่าธรรมเนียมการฝาก: ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมการถอน: ไม่มี
- ข้อดี: แอป Ledger Live เป็นศูนย์รวมการซื้อคริปโตที่ช่วยให้คุณสามารถซื้อ เทรด และถือครองเหรียญของคุณได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง
Bitkub
- จำนวนสกุลเงินคริปโต: 70+
- จำเป็นต้องทำ KYC: จำเป็น
- ค่าธรรมเนียมการเทรด: 0.25% ของการเทรด
- ค่าธรรมเนียมการฝาก: ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมการถอน: ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ 20 บาท
- ข้อดี: สภาพคล่องสูงและมีตัวเลือกเหรียญสำหรับการเทรดมากพอสมควร
- ข้อเสีย: ค่าธรรมเนียมการถอนอาจสูงถึง 200 บาท
Bitazza
- จำนวนสกุลเงินคริปโต: 100+
- จำเป็นต้องทำ KYC: จำเป็น
- ค่าธรรมเนียมการเทรด: 0.15% สำหรับผู้ขาย และ 0.25% สำหรับผู้ซื้อ
- ค่าธรรมเนียมการฝาก: ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมการถอน: ไม่ระบุ
- ข้อดี: ไม่มีค่าธรรมเนียมการฝาก มีเหรียญให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย
- ข้อเสีย: ค่าธรรมเนียมในการถอนยังค่อนข้างคลุมเครือ
Orbix (เดิมชื่อ Satang Pro)
- จำนวนสกุลเงินคริปโต: 30+
- จำเป็นต้องทำ KYC: จำเป็น
- ค่าธรรมเนียมการเทรด: ระหว่าง 0.1% – 0.25%
- ค่าธรรมเนียมการฝาก: ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมการถอน: ไม่ตายตัว
- ข้อดี: อินเทอร์เฟซที่เรียบง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น
- ข้อเสีย: โครงสร้างค่าธรรมเนียมการถอนที่ซับซ้อน
Upbit
- จำนวนสกุลเงินคริปโต: 150+
- จำเป็นต้องทำ KYC: จำเป็น
- ค่าธรรมเนียมการเทรด: 0.25%
- ค่าธรรมเนียมการฝาก: ไม่มี
- ค่าธรรมเนียมการถอน: เปลี่ยนแปลงได้
- ข้อดี: สภาพคล่องสูง เหมาะกับผู้เริ่มต้น
- ข้อเสีย: ค่าธรรมเนียมการถอนค่อนข้างสูงสำหรับคริปโตบางสกุล
คริปโตถูกกฎหมายในประเทศไทยหรือไม่?
ใช่! คริปโตนั้นถูกกฎหมายในประเทศไทย
การขุดคริปโตถูกกฎหมายในประเทศไทยหรือไม่?
การขุดคริปโตเป็นเรื่องถูกกฎหมายในประเทศไทย แม้หลายคนยังสับสนในประเด็นนี้ ในอดีต นักขุดที่ไม่ซื่อสัตย์บางรายได้ใช้ระบบไฟฟ้าของรัฐเพื่อขุดคริปโตโดยไม่ได้รับอนุญาตในอดีต แน่นอนว่าเรื่องนี้ผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง หากคุณต้องการขุดคริปโต คุณจะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ และต้องจ่ายภาษีจากกำไรที่ได้รับ แล้วคุณจะไม่ต้องกังวลในเรื่องกฎหมายอีกต่อไป
วิธีการขุดบิตคอยน์ในประเทศไทย
การขุดคริปโตคือกระบวนการใช้ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ซึ่งช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับเครือข่ายบล็อกเชน เมื่อนักขุดหรือกลุ่มนักขุดสามารถแก้ปัญหาคณิตศาสตร์บนเครือข่ายได้สำเร็จ พวกเขาจะได้รับ Reward ในรูปแบบของคริปโต
ขั้นตอนที่ 1: เลือกฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสม
ก่อนที่จะทำการขุด ให้ตัดสินเลือกคริปโตที่ต้องการขุดก่อน คุณสามารถขุดคริปโตบางสกุล เช่น Monero ได้ด้วย CPU หรือ GPU ของคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่บิตคอยน์จำเป็นต้องใช้กำลังการประมวลผลที่สูงกว่า จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องขุดเฉพาะที่เรียกว่า ASIC เครื่องขุด ASIC มีราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ 1,500 USD หรือเทียบเท่ากับ 50,000 บาท และเครื่องขุดบางเครื่องจะมีราคาสูงถึง 100,000 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่น
ขั้นตอนที่ 2: ติดตั้งและกำหนดค่าซอฟต์แวร์การขุด
ประเภทของซอฟต์แวร์ที่คุณต้องใช้จะขึ้นอยู่กับคริปโตที่คุณกำลังขุดและฮาร์ดแวร์ที่คุณมี ไม่ว่าฮาร์ดแวร์ของคุณจะเป็นแบบใด โปรดระมัดระวังในการดาวน์โหลดจากแหล่งที่เป็นทางการ และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากมัลแวร์
ขั้นตอนที่ 3: เข้าร่วมพูลการขุด
พูลการขุด คือ กลุ่มนักขุดคริปโตที่รวมพลังการขุดทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการขุดบล็อกได้สำเร็จ เมื่อเครื่องขุดใด ๆ ในพูลการขุดทำการขุดบล็อกในบล็อกเชน จะมีการแจกจ่าย Reward ไปทั่วทั้งกลุ่มตามผลงานที่เครื่องขุดเหล่านั้นทำการสนับสนุนในพูล
พูลการขุดบิตคอยน์ยอดนิยมได้แก่ Antpool, F2Pool และ ViaBTC เลือกพูลที่เหมาะกับคุณที่สุดโดยพิจารณาจากขนาด ค่าธรรมเนียม และวิธีการจ่ายเงิน จากนั้นเข้าร่วมผ่านทางเว็บไซต์ทางการของกลุ่ม
ขั้นตอนที่ 4: ติดตั้งบิตคอยน์วอลเล็ต
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการขุด คุณต้องมีวอลเล็ตที่เหมาะสมเพื่อรับ Reward ที่คุณได้รับจากการขุด เราได้รวบรวมกระบวนการสร้างวอลเล็ตนี้ไว้ใต้หัวข้อ ‘ติดตั้งแอปและสร้างบัญชี’ ด้านบนเรียบร้อยแล้ว
ภาษีคริปโตในประเทศไทย
มีการเก็บภาษีคริปโตในประเทศไทยหรือไม่?
ในเดือนมิถุนายน 2025 รัฐบาลไทยประกาศยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์สำหรับคริปโต ผ่านผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีใบอนุญาต ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 จนถึง 31 ธันวาคม 2029 ส่งผลให้คนไทยสามารถเทรดคริปโตได้โดยไม่ต้องเสียภาษีไปอีก 5 ปี
วิธีการซื้อ NFT ในประเทศไทย
ขั้นตอนที่ 1: ติดตั้งคริปโตวอลเล็ต
เพื่อซื้อ NFT คุณจะต้องทำการสร้างคริปโตวอลเล็ตก่อน ซึ่งสามารถทำได้ทั้งบน Exchange หรือบนอุปกรณ์ Ledger ของคุณ โดยเราได้กล่าวถึงทั้งสองวิธีไว้ในช่วงต้นของบทความนี้แล้ว
ขั้นตอนที่ 2: ซื้อคริปโต
เพื่อซื้อ NFT คุณจะต้องมีคริปโตใดบ้าง คริปโตที่คุณจะต้องใช้จะขึ้นอยู่กับมาร์เก็ตเพลส NFT ที่คุณใช้งานอยู่
ตัวอย่างเช่น OpenSea สามารถใช้ได้กับเหรียญหลาย ๆ เหรียญ รวมถึง Ethereum, Polygon, Arbitrum, Avalanche และ Base และในขณะที่ Rarible นอกจากจะยอมรับเหรียญ Ethereum แล้ว แต่ยังสามารถใช้คริปโตอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น Tezos และ Solana
ขั้นตอนที่ 3: เลือกมาร์เก็ตเพลสของ NFT
มีมาร์เก็ตเพลสของ NFT หลายแห่ง เช่น OpenSea, Rarible และ SuperRare เลือกที่คุณต้องการ
ขั้นตอนที่ 4: เรียกดูและเลือก NFT
มาร์เก็ตเพลส NFT มีความคล้ายคลึงกับแกลเลอรีงานศิลปะออนไลน์ แต่ละชิ้นมีการออกแบบและสไตล์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่การเริ่มต้นนั้นง่ายอย่างเหลือเชื่อ OpenSea ยังมีอินเทอร์เฟซ ‘โหมดนักสะสม’ ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ซื้อรายใหม่
เพียงคลิกที่รูปภาพในแกลเลอรีเพื่อเปิด NFT ที่คุณสนใจ ก็จะแสดงภาพขยายของ NFT และตัวเลือกในการซื้อของคุณ
ขั้นตอนที่ 5: ซื้อหรือยื่นข้อเสนอ
บาง NFT อาจจะพร้อมให้คุณซื้อโดยมีค่าธรรมเนียมคงที่ โดยคุณสามารถกดซื้อและเลือกวิธีการชำระเงินได้
อย่างไรก็ตาม NFT อาจเป็นของส่วนตัวของนักสะสมรายอื่นก็ได้ ในกรณีเหล่านี้ คุณอาจสามารถเสนอราคา NFT ได้ แต่ขึ้นอยู่กับนักสะสมรายนั้นว่าจะยอมรับข้อเสนอของคุณหรือไม่ หากคุณชอบ NFT ชิ้นดังกล่าวจริง ๆ ก็คุ้มค่าที่จะลอง
บทสรุป
ด้วยคู่มือนี้ ตอนนี้คุณน่าจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับคริปโตเป็นอย่างดีแล้ว พร้อมให้คุณเป็นกลุ่มผู้ใช้คริปโตในไทยได้อย่างมั่นใจ แต่พึงระลึกว่าต้องดำเนินการอย่างปลอดภัย เก็บคีย์ของคุณอย่างปลอดภัยบน Ledger Stax หรือ Ledger Flex เพื่อความอุ่นใจสูงสุด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้คริปโตในประเทศไทย
บิตคอยน์ถูกกฎหมายในประเทศไทยหรือไม่?
ถูกกฎหมาย และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.
คุณต้องจ่ายภาษีคริปโตในประเทศไทยหรือไม่?
ใช่! กำไรจากคริปโตของคุณจะต้องเสียภาษีรายได้ส่วนบุคคลและจะแตกต่างกันไปตามจำนวนที่คุณได้รับ
คุณสามารถขุดคริปโตในประเทศไทยได้หรือไม่?
ขอย้ำว่าได้! การขุดคริปโตเป็นเรื่องถูกกฎหมายในประเทศไทย
คริปโตใดที่เหมาะแก่การลงทุนในไทยมากที่สุด?
ไม่มีใครควรกำหนดว่าคุณควรจะลงทุนในเหรียญใดและไม่ลงทุนในเหรียญใด คุณคือผู้ที่เลือกเองเสมอ คริปโตยอดนิยมได้แก่ Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH) และ Solana (SOL)
ในชุดคู่มือสำหรับแต่ละประเทศของเรา Ledger Academy ขอแนะนำคุณเกี่ยวกับขั้นตอนการซื้อ ขาย และถือครองสินทรัพย์คริปโตอย่างปลอดภัยและมั่นคงของแต่ละประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เรายังสรุปด้านอื่น ๆ ของคริปโตมาให้ด้วย เช่น NFT, สภาพแวดล้อมด้านการกำกับดูแล, สถานะการขุดบิตคอยน์ ตลอดจนผลกระทบด้านภาษีที่อาจเกิดขึ้นใด ๆ จากการเป็นเจ้าของคริปโต
สำหรับคู่มือที่คล้ายกันซึ่งครอบคลุมภูมิภาคอื่น ๆ โปรดดูคู่มือคริปโตที่ครอบคลุมของเราสำหรับเยอรมนี ตุรกี และอินเดีย